แชร์

6 ของเหลวในรถยนต์ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายมีอะไรบ้าง?

อัพเดทล่าสุด: 15 ก.ค. 2024
4658 ผู้เข้าชม
6 ของเหลวในรถยนต์ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายมีอะไรบ้าง?

6 ของเหลวในรถยนต์ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายมีอะไรบ้าง?

     เครื่องยนต์ นั้นเปรียบเสมือนหัวใจหลักในการทำงานของรถยนต์ น้ำมันหล่อลื่น ก็คงเปรียบเสมือนเลือดที่คอยไหลเวียน เพื่อหล่อเลี้ยงให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่เรารู้กันดีว่าเครื่องยนต์มีชิ้นส่วน และฟันเฟืองทำงานร่วมกันเป็นจำนวนมาก จึงมีการเสียดสีกันไปมาอยู่ตลอดเวลา น้ำมันหล่อลื่นจึงกลายมาเป็นหัวใจสำคัญในการลดการเสียดสี ป้องกันการสึกหลอ และช่วยในการระบายความร้อนให้กับชิ้นส่วนต่าง ๆ ระหว่างที่เครื่องยนต์ทำงาน ซึ่งน้ำมันหล่อลื่นถูกจำแนกออกเป็นหลากหลายประเภท เพื่อใช้กับอุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า น้ำมันหล่อลื่นในแต่ละส่วน ย่อมมีอายุการใช้งาน และระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายที่แตกต่างกันออกไป 

  1. น้ำมันเครื่อง
    จะช่วยบำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งระบบ ลดแรงเสียดทาน และป้องกันการสึกหลอ ซึ่งน้ำมันเครื่องจะเข้าไปแทรกอยู่ตรงระหว่างชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ สร้างฟิล์มบางๆ เคลือบเอาไว้ เพื่อป้องกันชิ้นส่วนต่างๆ กระทบกัน และยังสามารถช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย พร้อมช่วยควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

         โดยทั่วไประยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจะอยู่ที่ 8,000 - 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน แต่สำหรับรถยนต์ที่ใช้งานบ่อย หรือวิ่งทางไกลอยู่เป็นประจำ อาจต้องเปลี่ยนทุก ๆ 3 เดือน และสำหรับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ทางไกลอยู่เป็นประจำ ควรหมั่นตรวจเช็กน้ำมันเครื่องอยู่เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อเช็กระดับของน้ำมันเครื่อง ซึ่งระดับที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่างกึ่งกลางจุดสูงสุด และต่ำสุดของก้านวัดน้ำมันเครื่อง เพราะหากน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป จะส่งผลทำให้เครื่องยนต์สึกหลอเร็ว


  2. น้ำมันเพาเวอร์ หรือ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
    สำหรับใครที่ใช้รถยนต์รุ่นใหม่ๆ อาจไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว เนื่องจากรถยนต์ในรุ่นปัจจุบันจะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าทั้งหมด แต่สำหรับรถยนต์ที่ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ไฮดรอลิก น้ำมันเพาเวอร์เป็นสิ่งที่ต้องหมั่นเติมและตรวจเช็กให้อยู่ในระดับปกติ และไม่ควรเติมมากจนเกินไป เพราะเมื่อน้ำมันได้รับความร้อนจะเกิดการขยายตัวเพิ่มขึ้น ควรเปลี่ยนน้ำมันเพาเวอร์ทุก 1 ปี หรือทุก ๆ 80,000 กิโลเมตร

  3. น้ำมันเบรก
    เบรกถือเป็นส่วนสำคัญมาก เพราะใช้ในการหยุดรถและชะลอการขับขี่รถยนต์ สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้งานปกติ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุก ๆ 40,000 กิโลเมตร ซึ่งโดยเฉลี่ยน้ำมันเบรกจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 80,000 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 3 ปี ขึ้นอยู่กับว่าตัวเลขไหนถึงกำหนดก่อนกัน

         ถ้าเป็นรถยนต์ที่ใช้ขึ้น-ลงเขาอยู่เป็นประจำ และต้องคอยเหยียบเบรกอยู่บ่อย ๆ น้ำมันเบรกอาจจะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าปกติ ควรหมั่นสังเกต หากมีอาการ เบรกจม หรือเมื่อเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่าเบรกไม่อยู่ ต้องเหยียบเบรกซ้ำหลาย ๆ รอบ ควรนำรถเข้าตรวจเช็กทันที เพราะรถของคุณอาจต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกก่อนกำหนด ดังนั้น ก่อนการเดินทางคุณควรตรวจสอบระดับน้ำมันเบรกทุกครั้ง

  4. น้ำมันเกียร์
    เป็นของเหลวที่ช่วยให้การทำงานของระบบเกียร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้เกียร์ไหลลื่น ช่วยหล่อลื่นฟันเฟือง เพื่อไม่ให้ฟันเฟืองขบกัน ลดการเสียดสีของชิ้นส่วนในระบบเกียร์ และยังสามารถถ่ายเทความร้อนได้อีกด้วย

         โดยปกติทั่วไปไม่ว่าจะเป็นรถยนต์เกียร์อัตโนมัติหรือเกียร์ธรรมดา จะมีรอบการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก ๆ 40,000 กิโลเมตร หรือทุก 2 ปี แต่หากคุณมีพฤติกรรมในการขับรถ ที่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อย ๆ อาจต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เร็วกว่าปกติ ที่ระยะ 10,000 20,000 กิโลเมตร หรือทุก ๆ 1 ปี และไม่ควรใช้งานเกินกำหนดระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่าย เพราะน้ำมันเกียร์เป็นตัวช่วยชะล้างเศษโลหะ คราบเขม่า ที่สะสมจากการใช้งานจำนวนมาก อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพในหล่อลื่นลดลง


  5. น้ำยาหล่อเย็น หรือ น้ำยาเติมหม้อน้ำ
    ของเหลวอีกอย่างที่ต้องให้ความสำคัญในการเปลี่ยนถ่ายของเหลวรถยนต์คือ น้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำรถยนต์ เพราะเป็นตัวช่วยในการระบายความร้อน ป้องกันการแข็งตัว และช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในเครื่องยนต์ไม่ให้ร้อนจนเกินไป ทั้งยังมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดสนิมอีกด้วย 

         สำหรับน้ำยาหล่อเย็นส่วนประกอบหลักๆ ประกอบด้วย น้ำ สารหล่อเย็น หัวเชื้อป้องกันสนิม และสีต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งหน้าที่หลักของน้ำยาหล่อเย็นคือ ช่วยทำให้จุดเดือดของน้ำภายในหม้อน้ำ ที่ผสมน้ำยาหล่อเย็นสูงขึ้น ส่งผลให้น้ำที่อยู่ภายในเดือดช้าลง ทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดสนิม ตะกรัน ตะกอน ได้อีกด้วย ดังนั้นผู้ขับขี่ควรศึกษาให้ดีก่อนเลือกใช้น้ำยาหล่อเย็น เพราะมีทั้งน้ำยาหล่อเย็นสูตรผสมน้ำและไม่ผสมน้ำ ที่สำคัญควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำภายในหม้อน้ำทุก ๆ สัปดาห์ และควรล้างหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำออก ทุก ๆ 6 หรือ 9 เดือน หรือ ทุก 50,000 กิโลเมตร เพื่อประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุด


  6. น้ำฉีดกระจก
    เป็นของเหลวประเภทที่ผู้ขับขี่ทุกคนสามารถเติมเองได้ โดยสามารถเติมน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว หรือผสมน้ำยาฉีดกระจกตามอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด คราบฝุ่น คราบแมลง ขี้นก ที่ติดอยู่บนกระจกให้หลุดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หากคุณใช้น้ำฉีดกระจกอยู่เป็นประจำ ควรหมั่นเติมทุก ๆ สัปดาห์

         ข้อควรระวัง หากคุณต้องการผสมน้ำกับแชมพู น้ำยาล้างจาน เพื่อใช้เป็นน้ำสำหรับฉีดกระจก อาจก่อให้เกิดปัญหาหัวฉีดหรือท่อฉีดน้ำอุดตันได้ ดังนั้นจึงควรผสมในปริมาณน้อย

     รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมหมั่นเช็กระบบของเหลวในรถยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเองกันบ่อย ๆ นอกจากจะช่วยทำให้รถคันโปรดอยู่กับเราได้นานขึ้นแล้ว การดูแลรักษาเป็นประจำและสังเกตความผิดปกติอยู่เสมอ ก็จะช่วยลดความเสียหายที่อาจนำไปสู่ค่าซ่อมบำรุงที่สูงลิบเลยก็เป็นได้ ถึงแม้จะเป็นการดูแลในจุดเล็กๆ แต่หากละเลยไม่ใส่ใจจากจุดเล็กๆ ที่ควรดูแล อาจส่งผลร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่และยากต่อการซ่อมแซมภายหลัง

บทความที่เกี่ยวข้อง
different of car insurance 1
ผู้ใช้รถบางคนอาจจะพอรู้แล้วว่า ประกันรถยนต์แต่ละประเภท แต่ละชั้น แตกต่างกัน และก็มีบางคนที่ยังไม่รู้ วันนี้เราจะมาสรุปแบบให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้...
8 พ.ย. 2024
5 เทคนิคขับรถหน้าฝนให้ปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุ
ในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้ เพื่อลดอุบัติเหตุวันนี้ C P Inter จะขอนำเสนอ 5 เทคนิคขับรถหน้าฝนให้ปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุได้กันครับ
15 ก.ค. 2024
ประกันการเดินทางคุ้มครองอะไรบ้าง เริ่มคุ้มครองเมื่่อไหร่ ?
การทำประกันภัยการเดินทาง เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่วางแผนไปเทื่ยว หรือไปดูงานที่ต่างประเทศ หากเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดฝัน
15 ก.ค. 2024
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy