ผู้ที่ทำงานประจำ หรือกลุ่มมนุษย์เงินเดือน
โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีสวัสดิการประกันกลุ่มที่บริษัทฯ ทำไว้ให้ และก็มีประกันสังคมอยู่ด้วยแล้ว แต่ถ้าหากถามว่าจำเป็นที่จะต้องซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติม หรือไม่นั้น ก่อนอื่นต้องมาดูว่า ถ้าหากเราเจ็บป่วย เราจะเลือกเข้าโรงพยาบาลที่ไหน ค่าห้อง รวมค่าอาหาร ค่ายา ต่อวันประมาณเท่าไหร่ สิ่งที่สวัสดิการของบริษัทมีให้เพียงพอไหม ? เช่น ถ้าเราเจ็บป่วยแล้วต้องการที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน ที่ค่าห้องค่อนข้างสูง ก็ควรที่จะซื้อประกันสุขภาพเพิ่มไว้ เพราะนิยามความสำคัญของประกันสุขภาพ คือคุ้มครองเมื่อเกิดเหตุเจ็บป่วย บางคนคิดว่าตัวเองมีสวัสดิการประกันกลุ่ม และ/หรือ มีประกันสังคม ก็เพียงพอแล้ว แต่อย่าลืมว่าสวัสดิการเหล่านี้ ไม่ใช่สวัสดิการที่ติดตัวเราไปตลอด ถ้าหากต้องออกจากงานหล่ะ
บางคนเริ่มทำประกันสุขภาพตอนที่สายเกินไป เพราะเกิดโรคบางอย่างขึ้นกับตัวเองแล้ว เช่น อาจจะเป็นโรคเนื้องอกในบริเวณต่าง ๆ หรือโรคร้ายแรงยอดฮิตเช่นมะเร็ง หรือเป็นโรคประจำตัวอย่าง โรคเบาหวาน ความดัน ก็เท่ากับว่าหากไม่ได้ซื้อประกันสุขภาพเตรียมเอาไว้ แล้วต้องการจะทำประกันสุขภาพในภายหลัง ก็อาจจะส่งผลให้ไม่ผ่านการพิจารณาการรับประกัน หรือไม่ได้รับความคุ้มครองเต็มที่ เพราะติดเงื่อนไขยกเว้นความคุ้มครองโรคที่เป็นมาอยุ่ก่อนแล้ว
ดังนั้น ควรจะซื้อประกันสุภาพไว้ ยิ่งทำตั้งแต่อายุยังน้อยได้ก็ยิ่งดี เพราะ นอกจากจะทำให้เราสามารถเลือกรักษาในโรงพยาบาลที่ต้องการได้ เวลาที่เจ็บป่วย และไม่ว่าในอนาคตจะเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมา เราก็ยังมีความคุ้มครองที่ครอบคลุม ทั้งโรค และค่าใช้จ่ายไปจนแก่ ซึ่งเราสามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันได้ โดยการเลือกซื้อประกันสุขภาพที่มีส่วนลด กรณีมีค่าเสียหายส่วนแรกไว้ เพื่อใช้สำหรับรองรับค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินจากสวัสดิการประกันกลุ่มได้ หรือหากว่าปกติใช้สิทธิประกันสังคมเป็นหลักอยู่แล้ว ก็อาจจะทำประกันโรคร้ายแรง หรือประกันภัยโรคมะเร็งเพิ่มไว้ก็ได้ เพื่อให้ได้เงินก้อนมารักษาตัวไว้สักหน่อย และยังคงใช้สิทธิประกันสังคมได้ แต่สิ่งที่แตกต่างของการให้บริการของโรงพยาบาลเอกชน กับโรงพยาบาลในส่วนของประกันสังคมก็จะแตกต่างกัน ในเรื่องของความรวดเร็ว ความสะดวกสบาย ในบางครั้งต้องรอคิวนาน ยกเว้นจะเป็นเคสหนัก หรือเร่งด่วนจริง ๆ ถึงจะใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ ซึ่งบางที่อาจะรอถึงครึ้งวันกว่าจะได้รับการรักษา ถ้าเรายอมรับได้ในเรื่องนี้ ก็ถือประกันสังคมเอาไว้ และต่อสิทธิ์อย่าได้ขาด แม้จะเกษียณไปแล้วก็ตาม
ข้าราชการ
ข้าราชการจะมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลติดตัวตลอดยาวๆ ไปตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่ในยุคปัจจุบันก็อาจจะไม่ได้สิทธิ์เท่าข้าราชการรุ่นก่อน ๆ ดังนั้น หากอยากได้ความรู้สึกสะดวกสบายชอบบริการจากโรงพยาบาลเอกชนมากกว่า ก็ควรซื้อประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายเก็บไว้ แต่หากไม่ซีเรียสก็สามารถไปใช้สิทธิรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐบาลได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีประกันสุขภาพ แต่ก็ยังแนะนำให้ซื้อประกันโรคร้ายแรงไว้ เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เป็นโรคร้ายแรงขึ้นมาก็ยังได้เงินก้อนมารักษาตัวเองยามเจ็บป่วย หรือจะเป็นเงินสำรองที่เอาไว้ใช้ในส่วนของค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษาตัว ก็น่าจะเป็นประโยชน์มาก ๆ
อาชีพอิสระ
เป็นกลุ่มอาชีพที่ควรจะซื้อประกันสุขภาพ มากที่สุด เพราะไม่มีสวัสดิการใด ๆ ติดตัวเลย และหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เงินออมที่เก็บไว้ ก็ต้องนำมาใช้รักษาตัวเองจนหมด
จะดีกว่าไหม ถ้าหากมีประกันสุขภาพ ที่มีความคุ้มครองเพียงพอ และหากมีวงเงินค่ารักษาผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วยก็จะมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมครบถ้วน ซึ่งปัจจุบันก็มีหลาย ๆ บริษัทฯ ที่ออกแพคเกจประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มอาชีพอิสระ ที่ปัจจุบันจำนวนมากขึ้นในทุก ๆ ปี
ข้อสรุป 8 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อประกันสุขภาพ
มาลองสำรวจตัวเองกัน ในวันที่ยังสุขภาพดี เพราะหลาย ๆ คน ตกหลุมพรางของสวัสดิการประกันกลุ่มของบริษัทฯ โดยลืมคำนึงว่า หากเราเกษียณ หรือต้องออกจากงาน แล้วไม่มีสวัสดิการค่ารักษาจากบริษัทอีกต่อไป นั่นหมายความว่า เราจะต้องเตรียมเงินเพื่อค่ารักษาพยาบาลสูงลิ่วที่ไม่สามารถควบคุมได้ ด้วยเงินเก็บทั้งชีวิตของตัวเอง หลายๆ คนที่ลืมมองจุดนี้และจะคิดไปหาซื้อประกันสุขภาพตอนอายุมาก หรือตอนเกษียณ แต่มีโรคเรื้อรังติดตัวเสียแล้ว เช่น โรคไต โรคหัวใจ ความดัน โรคมะเร็ง เท่ากับว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป จะต้องเตรียมเงินก้อนที่เก็บมา ไว้รักษาตัวเอง จะดีกว่าไหมหากเตรียมพร้อมได้ก่อน ก็ควรหาซื้อประกันสุขภาพไว้ตั้งแต่ยังวัยหนุ่มสาว เพื่อให้คุ้มครองครอบคลุม ซื้อตามความจำเป็นและเหมาะสมกับความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกัน ที่ไม่มากเกินความจำเป็น
การวางแผนด้านประกันชีวิต และประกันสุขภาพจึงมีความจำเป็นอย่างมากในการจัดการความเสี่ยงของชีวิต สำหรับทุกเพศ ทุกวัย และทุกๆ อาชีพ อยากให้เราช่วยแนะนำ บริหารความเสี่ยง ทักมาเลยที่ ไลน์ @cpinterbroker